คำทำนายวันสิ้นโลก - ภัยพิบัติล้างโลก - วันสิ้นสุดของโลก 2012
(Civilization’s end หรือ Apocalypse หรือ End Time 2012)

เรื่องนี้มีที่มาที่ไป ไม่ให้เชื่อตื่นตกใจ หรือ หลงงมงาย
แต่ควรศึกษาพิจารณา ทำไมถึงตรงกับพุทธทำนาย "แผ่นดินถล่มเป็นทะเล"
ก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้

ปรับปรุง 19 สค. 2552  


"บาปที่มองไม่เห็น"

"บาป"เป็นสิ่งที่คนส่วนมากไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรู้ ทั้งๆที่บาปเป็นสิ่งดีมีค่าถ้าเราได้รู้ได้เห็นข้อเท็จจริง ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่บุคคลนั้น นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำไมจึงเป็น"บาปที่มองไม่เห็น"

ถ้าจะเทียบ "บาปที่มองไม่เห็น" แบบง่ายๆ ก็เหมือนกับทุกๆวันนี้ เรากราบพระพุทธรูป แต่ที่จริงแล้ว เงาของเรากลับยืนปิดหู ปิดตา ปิดปาก หันหลังให้กับพระพุทธรูป ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า เราไม่คิดว่าพระพุทธรูปเป็นสิ่งที่ใช้แทนพระพุทธเจ้าให้ระลึกถึงว่า กว่าที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ ก็แทบเอาพระชนม์ชีพเข้าแลก และธรรมะที่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนมีอะไร เป็นประโยชน์ต่อเราเขาอย่างไร และ เรารู้มากน้อยอย่างไร
จริงไหมที่เรากราบไหว้พระพุทธรูปเพราะหวังในสิ่งตอบแทน เช่นให้เกิดมงคล โชคลาภ และสิ่งตอบแทนอื่นๆที่เสริมความเห็นแก่ตนให้มากขึ้น มีกี่คนที่ศึกษาว่าธรรมะของพระพุทธองค์มีอะไรที่เราสามารถนำมาปฏิบัติให้หลุดพ้นจากกิเลศได้อย่างไรบ้าง นี่ก็เป็นบาปอย่างหนึ่งที่เรามองไม่เห็น
พุทธศาสนิกชนส่วนมากหันหน้าหาพระสงฆ์ พนมมือรับพร รับน้ำมนต์ แต่เราเคยนำมาวิเคราะห์หาเหตุผลไหมว่า พระสงฆ์สอนอะไร ทำอะไร เกี่ยวข้องกับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้อย่างไรบ้าง หรือต้องการเพียงอิทธิปาฏิหาริย์ หรือเพื่อความโชคดี แม้แต่ทำบุญ เราทำอะไรให้กับจิตใจไว้ยึดเหนี่ยว หรือเราสร้างกันที่วัตถุเพราะเห็นได้ วัดได้ เพื่อให้เกิดบุญแก่ตน มีใครคิดบ้างว่า "ทำบุญเป็นบาป"มีถมไป นี่แหละที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนจะเสื่อมด้วยเหตุ 5 ประการ สรุปว่าการกระทำใดๆ จะห่างไกลจากคำตรัสสอนของพระพุทธองค์ไปทุกทีๆ 

ท่านพุทธทาสว่า "ตัวกูของกู" มันจริงเพราะเรายึดความเห็นแก่ตนเป็นแกนหลัก ถ้าเราเห็นสัทธรรมแล้ว ตัวเราก็เป็นชีวิตหนึ่งตามธรรมชาติของเขาเอง ที่เรียกว่า "กายหยาบ" มีการเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นธรรมดา ด้วยความเห็นแก่ตนของมนุษยโลกเป็นบาปที่มองไม่เห็นนี้ ทำให้เราพยายามยึดเหนี่ยว "นี่นั่นเป็นของฉัน" แล้วร่วมกันทำลายโลกของเราเอง เพื่อกอบโกยหาผลประโยชน์กันอย่างไม่หยุดหย่อน เราไม่ทราบหลอกว่า โลกก็มีชีวิตเช่นเราทั้งหลายเพียงแต่มีกายหยาบไม่เหมือนเรา แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยเราก็สมมุติว่าโลกเป็น "แม่พระธรณี" หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "Mother Earth"

คิดให้ดีจะเห็นว่าเรากำลังเป็นเชื้อโรคที่กำลังฆ่าแม่พระธรณี อย่างเช่นที่มะเร็งได้คุกคามผู้ป่วยฉันใดฉันนั้น เหลือเวลาแค่ 3 ปีที่สวรรค์เขาจะล้างโลกเพื่อเอาคนบาปไปวินิจฉัยโทษ ก็คงเหมือนกับหมอที่หายามารักษาโรคมะเร็ง แต่เราทั้งหลายไม่ตายโดยปราศจากกรรม ใครทำกรรมอะไรก็ได้รับผลกรรมนั้น จะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ จะหนีบาปก็ไม่ได้ สิ่งดีสิ่งเลวสิ่งชั่วจะปรากฏแก่ตนในวันพิพากษา เรื่องนี้ไม่ใช่มีอยู่แค่ในตำนานทางพุทธศาสนา ทุกๆศาสนาเขาก็สอนแบบเดียวกัน จริงไม่จริงก็คิดง่ายๆว่า คำทำนายต่างๆถูกมาครึ่งทางแล้ว ที่เหลือก็ไม่น่าจะผิดตรงไหน

"บาปที่มองไม่เห็น" ยังปิดหู ปิดตา ปิดปากเราไม่ให้สนใจเรื่องพระศรีอารย์ หรือเข้าใจกันผิดๆเพราะเราเชื่อเขาเล่าเรื่องพระศรีอารย์มาอย่างนี้อย่างนั้นโดยไม่กล้าหาข้อเท็จจริง ดูตัวอย่างที่ พ.ศ. ไทยเร็วไปเกือบ 50 ปี จะพิสูจน์กันอย่างไรก็เร็วไปแน่ๆ หรือเราสวดมนต์แล้วได้ประโยชน์อะไรถ้าเราไม่ทราบว่าที่เราสวดไปนั้นเป็นอะไร เรายึดติดยึดมั่นในสิ่งที่"บาปที่มองไม่เห็น"ชี้ทางให้เรา มันย้อนทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน คิดให้ดีว่าถ้าเราพิสูจน์หาความจริงในเรื่องพระศรีอารย์ ความจริงจักได้ปรากฏ และยังมีโอกาสที่เราๆจักได้มีโอกาสพ้นจากโลกามหาวินาศได้ ในยุคพระศรีอารย์เราจักรู้การบรรเทาบาปของตน ดูเรื่องพระศรีอารย์ได้ที่

"หนทางอยู่รอดในวิกฤติปัจจุบันและอนาคตที่ผู้มีบุญไม่ประมาท จะไม่มองข้าม"


ไปที่ "สรรบัญ" ไปหน้าแรกของ metteya.org